KoolMocye : ระบบเบรคมอเตอร์ไซค์
KoolMocye : ระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ (Brembo)
ระบบเบรค
ก่อนอ่านส่วนอื่น เราแนะนำว่า หากคุณเป็นนักขับขี่ทั่วไป การอัพเกรดเบรคนั้น หากมันมากเกินไป มันจะกลายเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แม้ว่า คุณจะสามารถพัฒนาฝีมือระดับนักแข่งได้แล้วก็ตาม การอัพเกรดเบรคที่มากเกินความจำเป็นมันก็อาจเกิดขึ้นอยู่ดี
ดังนั้นเราแนะนำให้อัพเกรดเบรคแบบพอดีๆ มันก็เพียงพอแล้ว
ความรู้พื้นฐานด้านระบบเบรค
ในที่นี้ เราจะเน้นไปที่ระบบเบรคแบบดิสเบรคเท่านั้น จุดเริ่มต้นจาก Lambretta ที่ได้ริเริ่ม ระบบจานเบรคลอย (จานวงกลมเหนือจากล้อ) แล้วไปเบรคที่จานแทนการเบรคที่ล้อเหมือนเดิม มันมีข้อดีคือ มันกระจายความร้อนได้ดีกว่าเดิมมากๆ และ มีน้ำหนักที่น้อยลงกว่าระบบ ดร้มเบรก มาก (คือการไปเบรคที่ล้อโดยตรง)
จานเบรค
ระบบเริ่มต้นนั้น ปั้มคาลิปเปอร์จะถูกบีบจากฝั่งเดียวเท่านั้น แม้ว่าจะมีแผ่นเบรค 2 ด้านก็ตาม แต่แรงที่กระทำกับเบรคมันมีเพียงด้านเดียว และจานเบรค แบบดั้งเดิมก็เป็นแบบ ฟิก หรือ ตายตัว ทำให้น้ำหนักเบรค กดลงเพียงด้านเดียวเท่านั้น จึงเกิดแนวคิด จานเบรคแบบ Floating หรือ การให้ตัวได้ (ขยับตัวไปซ้ายหรือขวาได้เล็กน้อย) เพื่อให้รองรับ ระบบเบรคแบบปั้มด้านเดียว
ในทศวรรษที่ 60-70 Honda ก็เริ่มพัฒนา จานเบรคแบบเจาะรู เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการระบายความร้อน และลดน้ำหนักลง แต่ถัดมา ประโยชน์ของมันกลับเป็น การกวาดผ้าเบรคให้เรียบสะอาดตลอดเวลา พร้อมๆกับมีการเพิ่มพื้นที่อลูมิเนียมไว้ตรงกลาง เพื่อเพิ่มการระบายความร้อนและลดน้ำหนักไปในตัวด้วย
สุดท้าย มีการเปลี่ยนวัสดุจานเบรคเป็น คาร์บอนเซรามิก ที่มีน้ำหนักเหลือเพียง 1 ใน 5 ของเหล็กกล้า และยังมีความยืดหดต่อความร้อน และทนต่อความร้อน กว่าจานเหล็ก โดยมันสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 400 องศาเซลเซียส
ต้องเข้าใจว่า ถ้านักแข่งที่ถนัด ใช้เทคนิกการ เลียเบรค ที่ความเร็วสูง จะทำให้เกิดความร้อนที่สูงมากๆ แต่ข้อเสียคือ จานเบรคแบบคาร์บอนเซรามิก นี้ มันสึกหรอเร็วมาก มันจึงเหมาะกับใช้ในสนามแข่งเท่านั้น
การดูแลจานเบรค
โดยทั่วไปจานเบรคจะมี การกำหนดความหนาขั้นต่ำไว้ เพราะถ้าใช้งานต่อไป อาจเกิดคามร้อน และ คดงอได้ หรือ จานอาจแตกร้าวไปได้เลยทีเดียว ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก ดังนั้น เราแนะนำให้วัดความหนาของ จานเบรคเรื่อยๆ เท่านั้น แต่โดยทั่วไป จานเหล็กมันนีอายุการใช้งานมากกว่า 50,000 กิโลเมตรแน่นอน
ส่วนผ้าเบรคนั้น อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งการขับขี่ และ วัสดุที่ผลิตขึ้นมา แต่มันควรมีอายุการใช้งานที่ 10,000 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ดี ควรส่องด้วยสายตา ว่า ผ้าเบรคนนั้นบางเกินไปรึยัง (โดยทั่วไปเหลือต่ำกว่า 2mm ควรเปลี่ยนได้เลย) ส่วนการเปลี่ยนผ้าเบรคนั้น เมื่อขับขี่ 2-3 กิโลเมตรแรกมันจะยังเบรคไม่อยู่ ดังนั้น อย่าเพิ่งเร่ง หรือใช้ ความเร็วสูงมากนัก
การติดตั้งเบรค
การติดตั้ง คาลิปเปอร์ เดิมนั้น วิศวกรออกให้ เบรคที่ล้อหน้าจะอยู่ด้านหน้าของขาตะเกียบ เพื่อเน้นไปที่การระบายความร้อน แต่รุ่นหลังๆ วิศวกรกลับย้ายไปไว้ด้านหลังของตะเกียบแทน เพื่อเน้นไปที่โมเมนต้มเชิงมุม มากกว่า (การไปติดที่ด้านหน้าของขาตะเกียบ ล้อมันหมุนไปด้านหน้า แรงมันจะพยายามไปดึงคาลิปเปอร์ออกจากขาตะเกียบมากว่า แต่ถ้าวางคาลิปเปอร์ไว้ด้านหลัง มันจะเป็นการดึงคาลิปเปอร์เข้าหาตะเกียบแทน ซึ่งจะมีความมั่นคงมากกว่านั่นเอง)
ถัดมาจึงมีการคิดค้น การติดตั้งแบบ Radial Mount คือ จะเป็นแบบน็อตยึดจะขวางกับแรงโมเมนต้มเชิงมุม ทำให้เบรคมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และยังมีข้อดีของการขยายจานเบรคที่จะทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย (แค่เสริมน็อตหรือแหวนเท่านั้น)
คาลิปเปอร์
ส่วนใหญ่การพัฒนาจะเป็น การเพิ่มขนาดจานเบรค กับ การเพิ่มแรงดันในการบีบมาก ขึ้น ถือเป็นทางเลือกแรกๆ ของการพัฒนาระบบเบรค แต่ข้อเสียคือ มันมักเป็นการเพิ่มน้ำหน้กจานที่มาก และ การเพิ่มแรงดันน้ำมันในการบีบ มันจะมีข้อจำกัด ด้านแรงดันน้ำมันเบรคที่อาจเกิดการรั่วได้ วิศวกรจึงเริ่มคิดค้นการเพิ่มพื้นที่ในการเบรคมากขึ้น คือ การเพิ่มจำนวนคาลิปเปอร์
การเพิ่มจำนวนนคาลิปเปอร์ วัตถุประสงค์หลักเลยคือ การเพิ่มพื้นที่การเบรคไปด้านแนวนอนของจานให้มากขึ้น และยังสามารถทำ จานเบรค ให้มีขนาดที่แคบลงได้อีกด้วย และทำให้จานมีน้ำหนักที่เบาขึ้น
แต่ปัญหามันไม่หมดแค่นั้น การเพิ่มแรงดันน้ำมัน และลูกสูบ จากทั้ง 2 ด้าน มันทำให้ โครงสร้างของคาลิปเปอร์ที่แบบเดิมเกิดจากการประกอบของ 2 ซีก มันไม่เสถียรเพียงพอ มันจึงมีการคิดค้น คาลิปเปอร์แบบก้อนเดียว คือ Monoblock ขึ้นมา
น้ำมันเบรค
พื้นฐานดั้งเดิมของน้ำมันเบรค คือ น้ำมันไฮโดรลิก เพื่อใช้ในการถ่ายเทแรงดันของเหลวจากแรงบีบจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หรือ อธิบายจากมอเตอร์ไซค์ คือ การถ่ายเทแรงดันจากก้ามเบรค ส่งผ่านแรงอัดผ่านแรงดันน้ำมันไปถึงผ้าเบรค นั่นเอง
ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวของ ระบบน้ำมันเบรค คือ การที่มันไม่สามารถถ่ายเทแรงดันน้ำมันของมันไปได้ เพราะ "ฟองอากาศ" และเมื่อเกิดความร้อนสูง หากน้ำมันเดือด มันจะเกิดฟองอากาศขึ้นในระบบ(เหมือนน้ำที่ต้มจนเดือด)
แต่ประเด็นสำคัญของน้ำมันเบรค คือ เมื่อใดที่มันดูดเอาความชื้นเข้าไป จุดเดือดของมันจะลดลงประมาณ 50-100 องศาเลยทีเดียว และเมื่อน้ำมันเบรคมันเดือด มันจะเกิดฟองอากาศ และทำให้ มันไม่สามารถถ่ายเทแรงดันน้ำมันเบรคได้ ...... นั่นหมายถึง เรากำลัง "เบรคแตก" นั่นเอง
ซึ่งมันสัมพันธ์กับมาตรฐานของน้ำมันเบรค โดยทั่วไป น้ำมันเบรคจะใช้มาตรฐานกรมขนส่งของสหรัฐ (DOT หรือ US Department of Transportation) โดยควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมนเครื่่องทุก 1-2 ปี (โดยเฉพาะหลังหน้าฝนที่น้ำมันเบรคดูดความชื้นไว้) และ ควรใช้แบบเปิดขวดใหม่ทุกครั้งเพื่อป้องกันการปนเปื้อนต่างๆ ที่หากเปิดแล้วอายุจะเหลือเพียง 1 ปีเท่านั้น
** จำไว้ว่า น้ำมันเบรคส่วนใหญ่จะมี Base เป็น Glycol นั่นคือ มันสามารถกัดสีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ได้ ดังน้้นควรระวังอย่างมาก เวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรค
** หลายคนสงสัยว่า น้ำมันเบรค มันสามารถผสมกันได้หรือไม่ คำตอบคือ ผสมได้ (ถ้ามันมาจาก Base เดียวกัน ) แต่คำแนะนำคือ การผสมทีหลัง น้ำมันควรเป็น DOT ที่สูงกว่าเท่านั้น ไม่ควรผสมด้วย DOT ที่เบอร์ลดลง
คุณสมบัติน้ำมันเบรคที่ดี
1. รองรับการบีบอัดสูงได้
2. ความหนืดต่่ำ เพื่อให้สามารถถ่ายเทแรงดันไปยังปลายอีกทางได้
3. หล่อลื่่นได้ดี เพราะ ตัวน้ำมันเองมันจำเป็นต้องไปหล่อลื่น ปั้มคาลิปเปอร์เบรค ด้วย
4. ต่อต้านการกัดกร่อน และไม่กัดยาง
5. จุดเดือดที่สูงจะยิ่งดีกว่า คือ ถ้ามันโดนความร้อนมากๆ น้ำมันเบรคมันจะเดือด และกลาย ฟองอากาศ ไป โดย จุดเดือดแห้ง ที่ประกาศไว้ข้างกล่อง คือ ก่อนปนเปื้อน ความชื้น และ จุดเดือดเปียก ที่ข้างกล่องระบุไว้ คือ มันจุดเดือนที่น้ำมันดูดซับความชื้นเข้าไป
มาตรฐานน้ำมันเบรค
DOT 5.1 คือ น้ำมัน ฐานGlycol (ดังน้้นมันสามารถใช้ได้กับ ระบบ DOT4.0 ที่มีฐาน Glycol เช่นกัน แต่ใช้กับ DOT5.0 ที่น้ำมันฐาน เป็น ซิลิโคน ไม่ได้)
ข้อดี คือ จุดเดือดสูงกว่าเดิม (แห้งที่ 270C เปียกที่ 190C) ความหนืดต่ำ (ตรงนี้ หลายคนที่ทดสอบให้ความเห็นว่า มันดูดกว่าเดิม) และไม่นำไฟฟ้า (เหมาะสำหรับรถไฟฟ้ามาก)
ข้อเสีย คือ มันกลับดูดความชื้นได้มากกว่า DOT4.0 ดังน้้นจึงแนะนำให้ เปลี่ยนถ่ายให้บ่อยขึ้น (ต่างกับ DOT5.0 ที่เป็น ซิลิโคน ที่ไม่ดูดความชื้น)
โดยบางคนให้ความเห็นว่า แม้มันจะไม่กัดกร่อนลูกยาง แต่การที่มันเหลวกว่า ทำให้รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าๆ ที่การหล่อ มันไม่แนบสนิท อาจทำให้มันรั่วไหลได้มากกว่า
DOT 5.0 จะแปลกกว่า DOT อื่นๆ เพราะมันมีน้ำมันฐานจาก ซิลิโคน แม้ว่าข้อดีจะเยอะ แต่ข้อเสียหลักของมันคือ มันใช้ร่วมกับ DOT อื่นๆ ไม่ได้เลย และแนะนำใช้กับ รถยนต์โบราณเท่าน้้น โดยเฉพามันไม่เหมาะกับรถยนต์ที่มีระบบ ABS
DOT 4.0 คือ น้ำมันฐาน Glycol เช่นเดียวกับ DOT3.0 โดยเริ่มใช้ประมาณ ปี 2006
ข้อดี คือ จุดเดือดสูงกว่า 3.0 แต่ก็ยังต่ำกว่า 5.1 (แห้ง 230C เปียกที่ 155C) ตรงนี้เอง การที่มันดูดความชื้นที่มากกว่า DOT3.0 มันจึงมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปีเท่าน้้น
ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า น้ำมันบางตัวอาจพิมพ์ว่า มันผ่านมาตรฐาน DOT4.0 แต่ความจริงแล้วเขาอาจดีกว่า DOT5.1 ด้วยซ้ำ
เบรค Brembo
ทำไมต้องเป็น Brembo เพราะ Brembo ถือเป็นเจ้าแห่ง MotoGP แต่เทคโนโลยีของ Brembo ก็ใช่ย่อย
ปี 1972 เริ่มต้นใช้ อลูมิเนียม มาผลิต คาลิปเปอร์เบรคเจ้าแรก
ปี 1987 เริ่มต้นใช้การผลิต CNC อลูมิเนียมในการผลิต
ปี 1992 เริ่มต้นใช้การผลิตแบบ MonoBlock ในยุคเดียวกัน ก็เริ่มต้น เบรคแบบ Radial Mount ด้วย
ขณะที่ปั้มเบรคบน RCS ก็เป็นแม่ปั้มเบรคแบบแปรผัน ในชื่อ Corsa Corta
ปั้มล่าง
2 Pot ใช้กับปั้มบน เบอร์ 15-16-17 และนิยมใช้เป็น ปั้มเบรคหลัง เพราะปกติ จะขยับทีละลูกสูบ
Brembo Jog (ลักษณะ เล็ก หูยึดบนและกลางตัวปั้ม) ชื่อมาจาก Yamaha Jog (เป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็ก)
Brembo P2-84 ผีเสื้อเล็ก หรือ ปักข้าง (ลักษณะมีขนาดเล็ก หูยึดจะมีด้านซ้าย-ขวา (ห่างกัน 84mm) เป็น Cast 2 ชิ้น มีน๊อต 2 ตัว มี 2 ลูกสูบ(มิเนียม) คือ 34x2 แต่จะแคบ โดยสายน้ำมันเบรคจะปักไปด้านข้างเลย บางคนจึงเรียก ปักข้าง (หากคว่ำขาลง ท่อน้ำมันจะอยู่ด้านบนขวา) ข้อดีคือ มีขาขายจับมอไซค์แทบทุกรุ่น (โดยมีแยกย่อยเป็น โลโก้แดงเล็กอีกรุ่น)
ราคาประมาณ 3000-4000บาท ขึ้นอยู่กับสีและโลโก้ (โลโก้ แดงหน้าจะเรียบ โลโก้ขาวจะเรียกโลโก้ลอย)
บอดี้ทอง โลโก้ขาว มือหนึ่ง 5000 บาท
Brembo ผีเสื้อใหญ่ (ปกติจะเรียกว่า ผีเสื้อ หูยึดจะมียื่นออกไปทั้งด้านซ้าย-ขวา โดยทะลุออกนอกตัว Body ออกไปอีกหน่อย ขณะที่ท่อน้ำมันเบรค จะอยู่ด้านบน ไม่ปักข้างแล้ว
บางรุ่นจะถอดจาก Ducati 400SS
ราคามือหนึ่ง 3000 บาท
บอดี้ทอง โลโก้ขาว 5000 บาท
บอดี้ดำ โลโก้แดง ราคา 7000 บาท
Brembo ด้วง หูยึดจะกว้าง 84 mm. คล้ายกับ ผีเสื้อ แต่จะโค้งกว่า และเป็นงาน CNC ประกบกัน 2 ชิ้น ลูกสูบขนาด 34 x2 ลูก ราคาประมาณ 13,000-16,000 บาท
Brembo ขาห่าง 90mm ถอดจากเบรคหลัง BMW R1100RS
Brembo ด้วง HP (High Performance) สามารถใช้ผ้าเบรคปักข้างได้
Brembo เต่า HP มีลักษณะเหมือนเต่าคลาน (คว่ำลงดู) ราคาประมาณ 4หมื่นปลายๆ เป็น Monoblock และเป็นงาน CNC แล้ว
4 Pot (หากเป็นคาลิปเปอร์คู่ ควรใช้เบอร์ 19 แต่ถ้าเดี่ยวก็เบอร์ 17)
Brembo P4-40 หรือ หูชิด ระยะหูยึดยาว 40mm ยังเป็น Axis Mount โดยมีปั้ม 4 Pot ขนาด 30mm, 34mm รุ่นนี้จะเป็นอลูมิเนียมหล่อ Cast (หล่อ) แบบ 2 ชิ้น ราคาประมาณ 5500 บาท สีดำประมาณ 6500)
แต่จะมี 2 ขนาดคือ 30,32 mm แต่ข้อดีสำหรับคนไม่คิดมากคือ มันสามารถใช้กับผ้าเบรคเกรดสูงสุดของ Brembo ได้เลย คือ Z04
Brembo P4 ขาห่าง 65mm ส่วนใหญ่ จะถอดออกจาก Ducati BMW จะเป็นไซส์นี้
Brembo P4 ขาห่าง 100mm คนไทยจะเรียกรุ่นนี้ว่า รุ่นกล้วย เพราะระยะขายึดห่าง 100mm โดยขาบน จะอยู่บนหัวมันอีก อีกขาจะอยู่กลางตัว
จุดยึดแบบ Radial Mount (จะมี 2 ขนาดความกว้างรู คือ 100mm(รถยุโรป) กับ 108mm รถญี่ปุ่น)
*มันถือเป็นรุ่นที่อัพเกรดจาก P4 แต่ก่อนที่มันจะมี Monoblock มันจะมีรุ่นที่ติดรถเดิมมา แต่เป็น 2 ชิ้น ด้วย (มักจะออกช่วงปี 2013-2015 เช่น Ducati Monster 796) ลักษณะจะเห็นน๊อต 4 ตัว และ 3 ตัว
* ถ้าติด Monster มาจะมีรุ่นที่มีน๊อต 2 ตัว แต่ผ้าเบรค 8 ชิ้น
** ขณะที่จะมี BYBRE ที่ไม่ใช่ Monoblock แต่จะมีน๊อตแค่ 2 ตัว (ใส่ BMW และ KTM รุ่นเล็ก) แต่จะมีขนาดระยะห่างน๊อตแค่ 80mm เท่านั้นและ ขนาดลูกสูบ ก็เพียง 4 Pot x28 mm **
M4 100mm (M= MonoBlock 4 = 4 pots) เป็น Radial Mount ระยะห่างขาคือ 100mm. ลูกสูบ 4x34mm. x 4 Pot
ข้อดีคือ มีใช้ในรถหลายรุ่นและน้ำหนักที่เบา โดยเป็น Monoblock แล้ว แต่ยังเป็นงาน Cast (หล่อ) ตัวนี้
(ราคาต่อตัว ประมาณ มือสอง 8000-9000 บาท มือหนึ่ง 12-13,000 บาท)
M50 100mm (เปิดตัวในปี 2011 M = MonoBlock 50= 50Anniversery) เป็น Radial Mount ขนาด 100mm. 30mm. x 4 Pot
(ปั้มที่ขนาดเล็กกว่า M4 ทำให้ Brembo เคลมว่า มันเบากว่า M4 6% ราคาต่อตัวในประเทศไทยประมาณ 12,000 บาท แต่ความจริงแล้วราคาที่ยุโรปจะสูงกว่า M4-100 พอสมควร)
ข้อสังเกตุ คือ ตัวหนังสือจะโค้งกว่า ผ้าเบรคใช้ร่วมกันกับรุ่น GP4R ได้
มักมีการพูดเปรียบเทียบระหว่าง M4 vs M50 โดยสเปคแล้ว M4 แม้จะมีลูกสูบที่ใหญ่กว่า มันควรจะเบรคได้ดีกว่า แต่นักขี่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตัว M50 จะสามารถควบคุมรถได้ดีกว่า (ความจริงแล้ว เมืองนอกบอกว่า ถ้าเปลี่ยนเฉพาะปั้มล่าง M50 จะดีกว่า เพราะ M4 มันควรเปลี่ยนปั้มบนด้วย เพราะมันทำให้ สัดส่วนในโลกจินตนาการที่ดีที่สุด ต้องเป็น 27 ต่อ 1 นั่นคือ M50 ใช้แค่เบอร์ 16 ขณะที่ M4 ควรใช้ปั้มบนเบอร์19)
M4.32 มันคือ M4 ที่มีลูกสูบลดขนาดลงมาเหลือ 32mm x4 เท่านั้น เป็นเพราะการมาของ M50 ที่มีขนาด 32mm นั่นเอง แต่บางรุ่นก็มี 4x30mm เช่นกันในรุ่นใหม่ๆ
Stylema 100mm ตัวนี้จะถือเป็นตัวอัพเกรดของ M4 และ M50 คือ จะมีการเปิดพื้นที่ของลูกสูบเพิ่มขึ้น แต่ขนาดลูกสูบจะเหลือเพียง 4x30mm เท่านั้น เพื่อลดน้ำหนัก และลดการใช้อ่างน้ำมันเบรคภายในตัวคาลิปเปอร์ ที่เปลืองโดยใช่เหตุ และ ยังเพิ่มพื้นที่ระบายอากาศ (มันจะมีช่องว่างระหว่าง ตัวปั้ม กับ ผ้าเบรคแบบเห็นได้ชัดๆ ) เมืองนอกวิจารณ์ว่า มันเป็นการออกแบบปั้มเบรคที่ชาญฉลาดมากๆ
หากสังเกตุกันจริงๆ มันบางกว่า M4 และ M50 ซะอีก น้ำหนัก็เหลือเท่ากับ หูชิด คือ 0.8 กิโลกรัมเท่านั้น
โดยเปิดตัวตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมาเท่านั้น โดยเฉพาะ Panigale V4 (ราคามือหนึ่งประมาณ 23-25,000 บาท ส่วนมือสอง 18000-19000 บาท)
ปั้มบน
ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า สัดส่วนระหว่าง (กระบอกสูบ) ปั้มเบรคล่าง และ(กระบอกสูบ) ปั้มเบรคบน (Master Cylender) ควรมีขนาดเท่าไหร่
สัดส่วนที่ดีที่สุด
30:1 - ความรู้สึกนุ่มนวล (นิ่มเกินไป)
27:1 - ควบคุมได้ดี ไม่สูญเสียการควบคุม ถือว่า ดีที่สุดสำหรับนักขี่
23:1 - ความรู้สึกแน่น กดได้เล็กน้อย
20:1 - ความรู้สึกจะแข็งแบบไม้ หรือ กดไม่ลง
วิธีการคำนวนคือ
คำนวน พื้นที่หน้าตัด ของ คาลิปเปอร์ ล่าง ต่อ พื้นที่หน้าตัดของคาลิปเปอร์บน ดังนั้น มันจะคำนวนพื้นที่หน้าตัดได้ (สูตรพื้นที่วงกลมของ 1 Pot คือ r2x3.14 )
ยกตัวอย่าง เช่น P4 คือจะมีขนาด 32mm x 4 (32/2 = รัศมี 16 )
16(r) x16(r) x 3.14(Pi) x 4pot x 2 จาน = 6434 mm
คำนวน กระบอกสูบ ของปั้มบน เช่น 16 (รัศมี = 8) จะได้ พื้นที่ 8 x 8 x 3.14 = 254
เมื่อเอา สัดส่วนมาหารกัน 6434/254 จะได้ประมาณ 25 จะเห็นว่า ใกล้เคียงค่าที่ควบคุมได้
แต่หากเป็นกรณี เบรคมีจานด้านเดียว จะกลายเป็น 16x16x4 /8x8 = 12.65 เท่านั้น นั่นคือมันเหมาะกับ 12 เท่านั้น
คำนวนระยะเคลื่อนที่ของกระบอกสูบบน ต่อกระบอกสูบล่าง
สิ่งแรกคือ เราต้องคำนวณว่า กระบอกสูบเบรค ขนาด 0.625 นิ้ว (5/8นิ้ว) นั้น สามารถขับเคลื่อนน้ำมันเบรคได้ขนาดไหนก่อน
ยกตัวอย่าง
5/8 นิ้ว จะประมาณ 15.87 mm ดังนั้นจะได้พื้นที่หน้าตัด 197mm
ถึงตรงนี้ ถ้ากระบอกสูบเคลื่อนที่ได้ 30mm มันจะสามารถดันน้ำมันเบรคได้ 30x197 = 5910 เมตร3
ถัดมาเราจะมาคำนวณการเคลื่อนที่ของลูกสูบล่าง
ถ้าเบรคล่าง ของเรามีพื้นที่หน้าตัด 9156 mm มันจะสามารถเคลื่อนที่ได้ 1 mm
ดังนั้น ปั้มบน มันกดตั้ง 3 มิลลิเมตร (5910) มันยังไปขยับปั้มล่าง (9156) ได้แค่ 0.5 มิลลิเมตรเท่านั้น
มันจึงตอบคำถามได้ว่า มันไม่เพียงพอ แต่บางครั้งค่า 0.4 - 0.6 มันอาจเพียงพอเพราะจะขึ้นกับปัจจัยอื่นด้วย เช่น สายเบรค
ซึ่งตามหลักแล้ว การเคลื่อนที่ของลูกสูบควรประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ผ้าเบรคควรไปแตะกับ จานเบรคแล้ว
ดังนั้น เคสนี้ เมื่อคำนวณด้วย กระบอกสูบบน 0.625 นิ้ว (หรือ 3/4 นิ้ว) จะเพียงพอสำหรับการเบรค
ดังนั้น การที่ไม่เปลี่ยนปั้มบน ทำให้ M50 นั้น แม้กระบอกสูบจะเล็กกว่า แต่มันกลับควบคุมได้ดีกว่า
M4 108mm. (ขนาดขา 108 ส่วนใหญ่จะถอดออกจากรถมอไซค์ญี่ปุ่น ส่วนขา 100mm มักจะถอดจากมอไซค์ยุโรป แต่ราคา 108 จะมีราคาที่แพงกว่า 100)
GP4-R
GP4-RX
GP4-RS
ตระกูล GP4-R นั้น เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อมาจากตระกูล M อีกที (รหัส GP มาจากสนามแข่ง MotoGP ส่วนตัว R มันหมายถึง Racing แน่นอนว่า เกรด Racing ฺBrembo จะใช้โลโก้เป็นสีแดง) ลูกสูบพื้นฐานจะอยู่ที่ 30x4 pot แต่บางรุ่นก็เป้น 32mm
ประเด็นคือ มันถูกมีการลดน้ำหนักจากรุ่น M เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% (จากเทคโนโลยีการหล่ออลูมิเนียมที่ลับเฉพาะของ Brembo และการตัดพื้นที่ที่ไม่มีส่วนต่อความแข็งแกร่งของเบรคออก) และเพิ่มครีบการระบายการความร้อนเข้าไปรอบตัว (มันคือการตัดเนื้ออลูมิเนียมออกด้วยทำให้มันได้รับคำชมว่า เป็นการออกแบบที่ชาญฉลาด แต่เฉพาะด้านบนของเบรคเท่านั้น) โดยสามารถระบายความร้อนได้มากกว่ารุ่นที่ไม่มีครีบถึง 30%
โดยมีความพิเศษคือ หากเป็นรุ่นที่มีสิเงิน มันจะเป็นการชุบนิกเกิล เพิ่มความแข็งแรงขึ้นอีก
(ราคา 100mm ประมาณ 25,000 บาท ขึ้นไป ราคาขา 108mm มือสอง ราคา 33000 บาท)
โดยมีรุ่นสูงสุดของตระกูล GP4 คือ GP4-MotoGP มันมีการเพิ่มครีบระบายความร้อนขนาดใหญ่ ไว้ด้านล่างเมื่อเทียบกับ GP4 (ความจริงรุ่นหลังๆ ของ GP4 ก็จะมีครีบระบายความร้อนด้านล่างแล้ว ไม่ใช่แค่รุ่นนี้)
.484 Cafe 100 และ 108mm เป็น Radial Mount ขนาด 100-108mm 4 Pot x32 mm (ราคาประมาณ 42,000 บาท) รุ่นนี้จะพบในมอไซค์รุ่นใหญ่หลายรุ่นเช่น Hayabusa
แต่บางรุ่นจะไม่ใช่งาน Monoblock (โลโก้เอียง) แต่มันใช้เทคโนโลยี อลูมิเนียมปั้มขึ้นรูป น้ำหนักเพียง 720g แต่ราคาแรงมาก ต่อตัว ราคา 16000 บาท
Brembo แมลงสาบ (ลักษณะ คือ เล็ก มีหนวดด้านบน ผ้าเบรคเล็ก แต่มี 4 pot) ราคา 30000-40000 บาท
Brembo เต่า ลักษณะ โลโก้ Brembo เป็นโค้งๆ และก้อนลูกสูบประมาณ 5 เหลี่ยม เป็น MonoBlock ผ่านการ CNC ลูกสูบเป็น Titaniam แถมยังเจาะรู เพิ่มอีก ผ้าเบรคเป็นทองแดงผสม (เฉพาะราคาผ้าเบรค 4-5000 บาท) ราคามือหนึ่ง 55000-60000 บาท
Brembo ตะพาบ แม้จะ 2 Pot แต่เป็น Radial Mount ขนาดเล็ก ราคา 65000 บาท เป็น Monoblock และโลโก้โค้ง คล้ายเต่า แต่จะเป็น Radial Mount
ปั้มบน
** รถเกียร์ออโต้ หากต้องการใช้ครัชน้ำมัน มันใช้ด้วยกันได้ แต่ประเด็นคือ สวิทช์ สตาร์ท กับสวิทช์เบรคมากกว่าที่มันไม่มีให้มา ซึ่งเป็นจุดที่อาจต้องแปลงเอา **
กล่องเหลี่ยม เป็น Brembo ที่เหมือนกับของติดรถทั่วไป (ยังไม่ใช่ปั้มกระทุ้ง) โดยมากถอดจาก KTM หรือ Ducati รุ่นเก่าๆ
ฐานดำ รุ่นนี้ ถือเป็นรุ่นถูกสุดของ Brembo ลักษณะคือไม่มีโลโก้ Brembo เลย ราคามือสอง ไม่ควรเกิน 3000 บาท แต่หากของครบ กระปุกและสายเบรค ด้วยราคา ประมาณ 3500-4500 บาท) ไม่น่ามีราคามือ 1 น่าจะถอดจากรถเท่านั้น
โลโก้ขาว จะมีโลโก้สีขาว เป็นงานอลูมิเนียมหล่อ (ซื้อมือหนึ่งแม้จะถูกสุด แต่ต้องซื้อ ตัวต่อสัญญาณไฟ และ กระปุก เพิ่ม ทำให้ราคาไม่หนี อิตาลี)
โดยมันมีข้อเสียคือ มันจะฟิกทุกอย่าง ราคา ประมาณ 8000-9000 บาท มือสอง จะมี รุ่นเก่า และ รุ่นใหม่ แต่ราคามือสองจะอยู่แถว 4000 บาท ขึ้นอยู่กับตำหนิ และของครบหรือไม่ ปัจจุบัน โรงงานไม่น่ามีผลิตแล้ว
โดยหาก ท่อไล่อากาศตั้งตรงขึ้น มันจะเป็นรุ่นที่ติดรถ Triumph มา
โลโก้แดง จะมีโลโก้สีแดงบนก้านกระทุ้ง ราคาประมาณ 13,000-16,000 บาท (แค่ก้านพับ อย่างเดียว ก็ 3000 บาท)
RCS หรือชื่อเล่น ปั้มอิตาลี มันมาแทน โลโก้ขาว ถือเป็น Street Use อย่างแท้จริง โดยมีการปรับเนื้อเป็นอลูมิเนียมแบบอัดขึ้นรูป Billet แต่บางสำนักว่า มันคือ Forge Aluminium
แต่จุดเด่น ของมันคือ มันสามารถปรับ ตัวสโตกลูกสูบได้ (แข็ง-อ่อน) และยังปรับระยะก้านเบรคได้อีกด้วย โดยก้านจะมีทั้งแบบไม่พับ และพับได้
ประเด็นเรื่องการปรับสโตก คือ แกนลูกสูบ อาจระบุเป็นเบอร์ 19 แต่มันปรับได้ ระหว่าง 18-20 ได้ด้วย
** รุ่นนี้ เวปอย่างเป็นทางการของเบรมโบ้ ประกาศเป็น Aftermarket รุ่นนี้ขึ้นไปเท่านั้น (รุ่นอื่นจะเหลือเพียง รุ่นติดรถที่ต้องเบิกศูนย์รถเท่านั้น)
RCS CORSA CORTA มันเป็นรุ่นอัพเกรด จาก RCS ธรรมดา จุดเด่นที่เพิ่มขึ้นมาคือ การปรับเป็น 3 Mode แทน คือ Normal Sport และ Race (มองผ่านๆ ตัวเบรค ผิวจะเรียบกว่า รุ่น RCS ธรรมดา และมี Logo Corsa สีขาวพาดเฉียงๆ)
RCS CORSA ROSSI จะถือเป็นรุ่นพิเศษ คือ หมุดมีสีทอง
RCS CORSA CORTA RR Race Replica ถือเป็นตัว Top ของรุ่น RCS (บางคนถือว่า มันมาแทนโลโก้แดง) ทั้งตัวเป็น CNC อลูมิเนียมทั้งชิ้น (รวมถึงก้านเบรคด้วย) ระบบไล่ลมจะเอียง 30องศา และใช้กับ Racing
Gale Speed มือปั้มบน 19 โลโก้แดง ราคา 13000 ขึ้น
จานเบรค PCX
จานเบรคเดิม PCX ใช้ร่วมกับ Wave 4 รู 220mm หนา 3.5mm. >> อัพเป็น 256 4.5 mm.
ปี 2018 ปั้ม 3 Pot (ใช่ร่วมกันกับรุ่น ZoomerX)
PCX 160 ปั้ม 2 Pot
จานเบรค Forza
จานเบรคหน้าเดิม Forza 6 รู ขนาด 256 mm หนา 4.5 mm. >> อัพเป็น 300
จานเบรคหลังเดิม 4 รู 240mm (เอาไปใส่จานหน้า PCX ได้)
Bฺrembo MV Agusta Brutale 1090R 2012-2017 (ใช้รุ่นเดียวกับ 800, 920, 990R, 675, 1090R) รหัสผ้าเบรค 07BB1990 หรือ 07BB19SA
ระยะห่างน๊อต 100mm Offset ระหว่างจานเบรค กับน๊อตยึด 30mm (เท่ากับ Sylema) เหมาะกับจาน 267-320 mm
เป็นอลูมิเนียมหล่อ แยกชิ้น(มีน๊อตจับ) Caliper เป็นอลูมิเนียม ขนาด 32 x 4
แผ่นเบรคหน้า หูยึด 2 หู ขนาด 74.9 x55.5 + หนารวม 8.6 (แม้ว่าจะใกล้เคียงกับ Sylema 30x4 แต่ก็ยัง 84.2 แต่หูยึดเดียว)
ของแต่ง ปั้มล่าง เบรคเบรมโบ้
น๊อตน้ำมัน ต้องวัดขนาดกันอาจเป็น M10x10 หรือ M10x19 Pitch 1.0/1.25
น๊อตไล่ลม M10x8 Pitch 12.5/1.00
M8x40 1.25 (ขนาดหัวไม่เกิน 13.5mm)
M8x20 1.25
สลักยาวยึดผ้าเบรค ยาวทั้งตัว 52mm ยาวหัว 7.3mm ยาวส่วนลำตัว 33.2 mm ขนาดปลายสลัก ใหญ่ 4mm
กิ๊ปยาว 30mm
ผ้าเบรค
ผ้าเบรคทั่วไป ปกติ เมื่อหายไป 50% ประสิทธิภาพจะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ
Brembo จะมี
1. Genuine คือ ผ้าเบรคติดรถเดิม (ที่ติดมากับปั้มเบรมโบ้ในบางรุ่น) โดยมันจะมีแยกทั้ง CC และ Sinter (ประเด็นของ Genuine คือมันจะมีเบอร์ต่อท้าย 1-99 คือ 1-49 เป็น Carbon และ 50 ขึ้นไปเป็น Sinter
1. CC (Carbon Ceramic) สีฟ้า ค่อนข้างนิ่ม เบรคอาจสู้ Sinter ไม่ได้ แต่สมูทและไม่กินจานเบรค
5. XS เป็น Sinter แต่เป็นผ้าเบรคสำหรับ สกู๊ตเตอร์ และรถวิบาก ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง
2. SP จะเป็นผ้าเบรคเฉพาะเบรคหลัง สำหรับรถทั่วไป
3. SA (สีแดง) เป็น Sinter เอาไว้ขี่บนถนน (หากเทียบเป็นตัวเลข กับ Genuine มันคือ 60 ขึ้นไป)
4. SR (Racing Road) สีเทา เป็น Sinter (หากเทียบเป็นตัวเลข มันคือ 95 ขึ้นไป)
5. RC (Racing Carbon) สีเทา คาร์บอน เวลาอุณหภูมิต่ำ จะไม่ค่อยจับ ยิ่งเจอฝนยิ่งไม่จับ ดังนั้นต้องมีการวอร์มก่อน ควรใช้ในสนามเท่านั้น
6. Z04 (สีทองแดง) ผ้าเบรคสำหรับ MotoGP เป็น Sinter
ความรู้เรื่องการโมเบรค Brembo
1. หัว Bunjo จะมี 2 รุ่นคือ M10 เกลียว 1.0 (ส่วนใหญ่จะเกลียวนี้) และ เกลียว 1.25
2. หัวไล่อากาศ จะมี 2 รุ่น M7 1.0 และ M8 1.25 (อันหลังจะเป็นรุ่นเดียวกับ Nissin) น๊อตไล่อากาศควรรองแหวนทองแดงไว้ด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น