KoolMocyc : E20 กับมาตรฐาน EURO5
น้ำมัน E20 กับมาตรฐาน EURO5 ทำไมถึงมีปัญหา?
หลายวันมานี้ มีการประกาศว่า รถมอเตอร์ไซค์หลายคัน ลูกสูบติดกันเยอะมาก โดยเบื้องต้น สันนิษฐานกันว่า เกิดจากน้ำมัน E20 ที่เปลี่ยนมาตรฐานมาเป็น EURO5 เรามาดูกันว่า มันคือความจริงหรือไม่??
เนื่องจาก น้ำมันเชื้อเพลิง EURO5 นั้นมีการกำหนด ค่ากำมะถัน หรือ Sulfur Content ต้องมีปริมาณต่ำกว่า 10ppm ทั้งน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล จากเดิมมาตรฐาน EURO4 ที่กำหนดไว้ต้องต่ำกว่า 50 ppm นอกนั้น ค่าอื่นๆ ยังคงเหมือนเดิมทั้งหมด
ข้อดีคือ ่น้ำมันพวกนี้มันช่วยลดค่า ซัลเฟอร์ออกไซค์ และค่าซัลเฟตทั้งหลายลง รวมถึง ฝุ่น PM2.5 ลงอีกด้วย!!! แต่..........
คำถามคือ ลูกสูบติด นั่นหมายความว่า ความหล่อลื่น Lubricity ลดลง แล้วมันไปเกี่ยวกับน้ำมันเบนซินมาตรฐาน EURO5 ได้อย่างไร ในเมื่อมันไปลดค่า Sulfur ลงเท่านั้น
แล้ว ค่า Sulfur มันไปเกี่ยวข้องกับ ค่าหล่อลื่น Lubricity ในน้ำมันเชื้อเพลิง ในเชื้อเพลิงได้อย่างไร?? ตามผลการวิจัยแล้วค่า Sulfur นั้น มันส่งผลต่อ ค่าความหล่อลื่น Lubricity ในน้ำมันเชื้อเพลิงจริง!! เหตุผลเพราะ ค่า Sulfur ที่แม้ตัวมันเองจะไม่เกี่ยวข้องกับ ค่าความหล่อลื่น เลย แต่เมื่อตัวมันไปผสมกับ แมงกานีส(Meganese) หรือ ตะกั่ว (Lead) ที่มีผสมอยู่ในน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว มันกลับกลายเป็นสารเพิ่มค่าความหล่อลื่นในน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงค่าแรงต้านแรงกดดันสูงExtreme Pressure Resistance และยังมีผลต่อค่าพลังงานความร้อน Heating Value ด้วย
ซึ่ง มาตรฐาน EURO5 นั้นลดค่า Sulfur ลงจาก 50ppm ไปที่ 10ppm หรือลดลง 5 เท่า มันย่อมส่งผลกระทบต่อ 3 ค่าข้างต้น ในน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมากแน่นอน
น้ำมันบางแบรนด์ในบางประเทศนั้น มีการเติมสารชดเชยค่าทั้ง 3 ค่าลงไปแทนเพื่อให้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิง EURO5 เทียบเท่ากับ EURO4 ด้วย
ส่วนประเทศไทย น้ำมันอย่าง E20 RON95 ได้รับผลกระทบอย่างไร
น้ำมัน E20 คือ น้ำมันเบนซิลมาตรฐาน ไปเติม Ethanol ลงไปผสมอีก 20%
ดังนั้น การเอาน้ำมันเบนซิลมาตรฐาน EURO5 ซึ่งต้องมีค่า Sulfur ไม่เกิน 10ppm ไปผสมกับ Ethanol ที่ไม่มีค่า Sulfur ใดๆ เลยลงไป 20%
นั่นหมายความว่า ค่า Sulfur ก็จะถูกเจือจางลงเหลือไม่เกิน 8ppm เท่านั้น ส่วนน้ำมันโซฮอล์อย่าง E10 ค่า Sulfur ก็เหลือเพียง 9ppm เท่านั้น
ถึงตรงนี้ค่าความหล่อลื่น Lubricity มันย่อมลงลงไปอีก ตามสัดส่วนของค่า Sulfur ที่ลดลงด้วย
ถึงตรงนี้ เราคงบอกไม่ได้ว่า มันส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์มากมายขนาดไหน เพราะมันไม่เสียภายในชั่วข้ามคืน หรือข้ามเดือน แต่ น้ำมันมาตรฐาน EURO5 ก็ประกาศใช้มาตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา แน่นอนกว่า ต้องยังมี EURO4 หลงเหลืออยู่ในคลังบ้าง ดังนั้น จะคาดหวังเป๊ะๆ เลยคงลำบาก
หลงทาง ครั้งที่ 1 สั่งให้จ่ายน้ำมันหนา
ถึงตรงนี้ หลายคนไปสับสนกับ ค่า Heating Value ที่ลดลง ทำให้เครื่องยนต์พัง!!!
ค่า Heating Value ที่ลดลง ทำให้เครื่องยนต์มันสั่งฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชย แต่ค่ามาตรฐานสำหรับ EURO5 มันอาจเกินกว่าค่าที่ ECU รับได้ หรือ บางคนไปจูนเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อฉีดน้ำมันให้หนาขึ้น ซึ่งหากระบบจ่ายน้ำมันที่หนามากเกินไป ก็อาจเกิดภาวะ Fuel Leak ได้อีก นั่นคือ น้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมด กลับไหลลงไปอยู่ในห้องแคร้งผ่านร่องลูกสูบ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่แหวนห่างแล้ว ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อ ความหล่อลื่นของน้ำมันหล่อลื่นที่ถูกเจือจางลงไปอีก !!!
น้ำมันหล่อลื่น สูญเสียค่าความหนืด Viscosity Index ก็ต่ำเกินไปแล้ว ใช่ เครื่องพัง !!!
ดังนั้นการจ่ายน้ำมหันให้หนา ป้องกันแค่จุดเดียวคือ ค่า Heating Value ที่ลดลง อย่างไรก็ดี การที่ค่า Heating Value ที่ลดลงนั้น มันไปทำให้ ค่า Air/Fuel (A/F) แตกต่างไปจากเดิม EURO4 ที่อยู่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานคือ 14.7/1 มาเป็น 13.5
ใช่ สำหรับ มาตรฐาน EURO5 นั้น มันย่อมลดลงมาอีก แม้แต่ค่าต่ำสุดของ E20 EURO4 จ่ายหนาสุดก็แค่ 12.5 แต่ E20 EURO5 นั้นอยู่ต่ำกว่าอีก ซึ่งแม้จะสั่งให้หัวฉีดจ่ายหนามากขึ้นแล้วก็ตาม มันก็กลายเป็นบางไปอยู่ดี การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลงบาง ก็ย่อมทำให้ เครื่องยนต์ร้อนจัดจนเครื่องพังอยู่ดี
ใช่ครับ การไปปรับจูนใหม่ มันแก้ปัญหา เครื่องจ่ายน้ำมันบางเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องร้อนจนพัง แต่มันไม่ได้แก้ปัญหา ค่า Lubricity ที่ลดลงมาเลย
หลงทางครั้งที่ 2 ค่าออกเทนลดลง เลยเติมด้วย E85
ตอนนี้มาตรฐานน้ำมัน กลุ่ม ก๊าซโซฮอลล์ กำหนดให้มีค่าออกเทนไม่ต่ำกว่า RON95 ไม่งั้นผิดกฎหมาย ดังนั้นคนที่ตั้งสมมติฐานว่า E20 EURO5 นั้นมี ออกเทนที่ลดลง แล้วอาจชิงจุดระเบิด หรือระเบิดไม่ตรงนั้น ถือว่า สมมติฐานผิด
แต่การเอา E85 ที่มี Ethonal ที่มากกว่า E20 เสียอีก ไปผสม นั่นย่อมหมายความว่า ........ ค่า Sulfur กลับยิ่งลดลงมากกว่าเดิม อีก !!! นั่นยิ่งเป็นการเร่งให้ค่าความหล่อลื่นลดลง ใช่ เครื่องมีโอกาสพัง สุงขึ้นไปอีก!!
ความจริงแล้วบริษัทน้ำมันนั้น อยากให้ คนเติมน้ำมันขยับขึ้นไปใช้น้ำมัน E10RON95 อยู่แล้วเพราะน้ำมันพวกนี้มันเป็นเกรดพรีเมี่ยม พวกเขารู้ดีกว่า น้ำมันเหล่านี้มีการเติมใส่สาร Additive เพิ่มเข้าไปเพื่อชดเชยค่า Sulfur ที่หายไปได้ แต่สารปรุงแต่งพวกนี้ก็ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งขึ้นไปอีกเยอะมาก ซึ่งหมายถึงกำไรที่เยอะมากกว่า น้ำมันแบบ E20
และนั่นคือคำตอบที่แท้จริง คือ การเติมน้ำมัน เกรด E10 ระดับพรีเมี่ยมนั่นเอง ตามที่บริษัทน้ำมันเขาต้องการนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น