KoolMocyc : Forza 350 สเปกต่างๆ และการแก้ไข
KoolMocyc : Forza 350 สเปก และการแก้ไข
Forza350 หรือ ชื่อรุ่น NSS350 (จีนและญี่ปุ่น) รหัส MF-15 ขึ้นไป
(Forza 300 Gen 2 (ที่ทรงเหมือนกัน จะเป็นรหัส MF-13)
แฟริ่งรอบคัน
ปัญหากระจกมองข้าง - ใช้ไปนานๆ ปลายกระจกมันจะสั่นได้ ให้แก้ไขดังนี้1. ถอดที่ครอบกระจกด้านไฟเลี้ยวออก
2. ขันน๊อตออกมา ตะไบ รูตัวเมียให้อยู่ต่ำกว่าพลาสติก (เดิม รูน๊อตตัวเมียมันจะสูงเท่าพลาสติก ทำให้ ตัวน๊อต มันจะไม่ได้หนีบกับพลาสติก เราจึงต้องตะไบให้รูมันมันต่ำกว่าพลาสติก ทำให้น็อตมันสามารถหนีบเข้ากับพลาสติกได้นั่นเอง)
ชิลด์หน้า
ชิลด์หน้า ของ Forza350 ปี 2020 กับ ปี 2023 จะไม่สามารถเอาใส่กันได้ ต้องซื้อตรงรุ่นเท่านั้น
**ที่สำคัญ ใครบอกว่า ชิลด์ใสของ Forza เป็นเกรดโล่ห์ป้องกันจราจล แต่ถ้ารถล้ม ชิลด์ใสก็เป็นรอยอยู่ดี **
** ไฟหน้ารถยนต์ ปกติจะทำจาก โพลีคาร์บอเนต(ทนความร้อน แต่ใสน้อยกว่า) หรือ โพลีอคิริก(ใสกว่า แต่ไม่ทนความร้อน และไม่ทนต่อตัวทำละลาย) แล้ว Coating ด้วยตัวเดียวกับสีรถเพื่อปกป้อง มันเสื่อมสภาพ ทำให้เนื้อในไปโดนรังสีอัลตร้าไวโอเลต ดังนั้น น้ำมันกับแอลกฮอล์(ในโลชั่นหรือยากันยุง) ซึ่งหากเสียหายถึงเนื้อมากเกินไปก็ไม่สามารถทำได้ (ต้องใช้กระดาษทรายขัดออกก่อนอยู่ดี)
Maintainance
เครื่องยนต์
อาการ รอบไม่สัมพันธ์กับ ความเร็ว
- อัดจารบี มากเกินไป ทำให้ ชามหน้า ชามหลัง ครัช เลอะจารบี เลยลื่น
- เม็ดในชามค้างไม่วิ่ง
อาการ เครื่องยนต์ติดๆ ดับๆ
- ตรวจสอบขั้วแบตก่อน
1. ขันขั้วแน่นมั้ย
2. ลองล้างขั้วสายแบต ด้วยทินเนอร์ ทำความสะอาดอิเลกโทรนิกส์ก่อน
- สายคอยล์ ขาดใน (ส่วนใหญ่เกิดจากล้างรถ)
- สาย O2 sensor ขาดใน (ส่วนใหญ่เกิดจากถอดท่อ ขี้เกียจถอดสาย O2 sensor)
อาการ เหมือนปั้มติ๊กเสีย (น้ำมันไม่จ่าย)
1. ให้เปลี่ยนดีเลย์ ปั้มติ๊ก หรือ ดีเลย์ เซนเซอร์รถล้ม
2. ตรวจที่ปั้มติ๊ก เสียหรือไม่
สเปกเครื่องยนต์ลูกสูบขนาด 77 x 70.7 (ปลอกประมาณ 5mm ดังนั้นยัดลูก 82-84 น่าจะได้) เฮียม๋า แนะนำลูก 80 จะทนกว่า สลัก 18 mm
** ลูกสูบเดิมจะเป็น Cast (อลูมิเนียมหล่อ หรือเหล็กหล่อ) และ Forged (อลูมิเนียมหล่อแบบบีบอัด แล้วกลึง) Forged จะขยายตัวมากกว่า เพราะเนื้อโลหะมากกว่า (แต่ขึ้นอยู่กับส่วนผสมด้วย บางทีผสมทองแดงเข้าไปด้วย ทำให้ขยายตัวน้อยกว่าก็มี)
หากใช้ทำขี่ทั่วไป ทั้งคู่สามารถทนแรงเค้นได้แน่นอน ยกเว้นทำแข่ง ที่ฟอร์จจะได้เปรียบกว่า แต่ต้องเว้นเคลียร์แร้นซ์ที่มากกว่า ทำให้ตอนเครื่องเย็นๆ มันจะหลวมๆ หน่อย
ข้อดีสุดๆ ของลูกสูบฟอร์จที่ออกแบบมาดี คือ มันลดภาระเครื่องได้ดีมากๆ แม้จะลดเพียงไม่กี่กรัม แต่ความจริงมันลดภาระของเครื่องลงได้หลายร้อยกิโลกรัม จากข้อเหวี่ยงเลยทีเดียว
จุดยึดเครื่องอาการ ช่วงล่วงย้วย น่าจะเป็นที่แขนด้านใน
อาการ เครื่องเลื่อนได้ เป็นที่ บู๊ทแคร้งเครื่อง (มันสั้น)
- อัดจารบี มากเกินไป ทำให้ ชามหน้า ชามหลัง ครัช เลอะจารบี เลยลื่น
- เม็ดในชามค้างไม่วิ่ง
อาการ เครื่องยนต์ติดๆ ดับๆ
- ตรวจสอบขั้วแบตก่อน
1. ขันขั้วแน่นมั้ย
2. ลองล้างขั้วสายแบต ด้วยทินเนอร์ ทำความสะอาดอิเลกโทรนิกส์ก่อน
- สายคอยล์ ขาดใน (ส่วนใหญ่เกิดจากล้างรถ)
- สาย O2 sensor ขาดใน (ส่วนใหญ่เกิดจากถอดท่อ ขี้เกียจถอดสาย O2 sensor)
อาการ เหมือนปั้มติ๊กเสีย (น้ำมันไม่จ่าย)
1. ให้เปลี่ยนดีเลย์ ปั้มติ๊ก หรือ ดีเลย์ เซนเซอร์รถล้ม
2. ตรวจที่ปั้มติ๊ก เสียหรือไม่
สเปกเครื่องยนต์
** ลูกสูบเดิมจะเป็น Cast (อลูมิเนียมหล่อ หรือเหล็กหล่อ) และ Forged (อลูมิเนียมหล่อแบบบีบอัด แล้วกลึง) Forged จะขยายตัวมากกว่า เพราะเนื้อโลหะมากกว่า (แต่ขึ้นอยู่กับส่วนผสมด้วย บางทีผสมทองแดงเข้าไปด้วย ทำให้ขยายตัวน้อยกว่าก็มี)
หากใช้ทำขี่ทั่วไป ทั้งคู่สามารถทนแรงเค้นได้แน่นอน ยกเว้นทำแข่ง ที่ฟอร์จจะได้เปรียบกว่า แต่ต้องเว้นเคลียร์แร้นซ์ที่มากกว่า ทำให้ตอนเครื่องเย็นๆ มันจะหลวมๆ หน่อย
ข้อดีสุดๆ ของลูกสูบฟอร์จที่ออกแบบมาดี คือ มันลดภาระเครื่องได้ดีมากๆ แม้จะลดเพียงไม่กี่กรัม แต่ความจริงมันลดภาระของเครื่องลงได้หลายร้อยกิโลกรัม จากข้อเหวี่ยงเลยทีเดียว
อาการ เครื่องเลื่อนได้ เป็นที่ บู๊ทแคร้งเครื่อง (มันสั้น)
แกนสวิงอาร์ม จะเป็นท่อยาว 19cm เส้นผ่าศูนย์กลางนอก 20mm หนา 4mm (เส้นผ่าศูนย์กลางใน 12mm)
โดยแกนสวิงอาร์ม จะมีหลักๆ 3 ตัว
M12x219 ตัวเล็กยึดอาร์มตัวเล็กด้านหน้า
M12x345 แกนยึดอาร์มตัวเล็กเข้ากับอาร์มตัวใหญ่
M12x285 เป็นแกนสวิงอาร์มใหญ่ที่อยู่ตัวหลังสุด (ของเก่า สั่ง 300 มาแต่ดันยาวไม่พอ??)
วิธีตรวจสอบน้ำหล่อเย็น จะต้องยกขาตั้งคู่ขึ้นก่อน แล้วก้มดู มันจะอยู่ที่แถวๆ เท้าขวาของคนขี่
ประเด็นสำคัญคือ ให้ตรวจระดับน้ำ "ตอนเครื่องเย็น" เท่านั้น เพราะ หากเครื่องยังร้อนอยู่ เครื่องยนต์มันจะดูดน้ำเข้าไปในเครื่องทำให้ระดับน้ำหล่อเย็นด้านนอก มันดูต่ำกว่าปกติ จนดูเหมือน น้ำในถังพักมันแห้ง นั่นเอง
วิธีเติม คือ เปิดยางพื้นที่เหยียบข้างขวาออก จะเห็นที่เปิด เปิดแล้วเปิดฝาหม้อน้ำแล้วเติมได้เลย แล้วปิดฝาหม้อน้ำให้ดี (ควรเช็คตรงนี้ซ้ำๆ) ไม่งั้นงานเข้าแน่นอน
การไล่น้ำ จะต้องตั้งขาตั้งข้าง เพื่อให้อากาศเหลืออยู่ในหม้อน้ำน้อยที่สุด ถ้าตั้งคู่ หม้อน้ำเอียงไปด้านหน้าใส่น้ำยังไงก็เหลือข้างบนเยอะ
แบตเตอรี่
ขนาดแบตเตอรี่พื้นฐาน ของ Forza คือ ขนาด กยส 87 x 150 x 95 แรงดันไฟ 12V กำลังไฟ 9Ah (10-HR) CCA 190 (ขั้วบวก มองเข้าหาแบต จะต้องอยู่ฝั่งซ้าย)
แต่บางคนสามารถใส่ขนาดเล็กกว่าก็ได้ (เช่นของ PCX) เพื่อลดน้ำหนัก ก็ใช้ได้ดีไม่มีปัญหาอะไร
*** แนะนำให้ซื้อเป็นแบตแบบ LiFO เพราะ ปัจจุบันราคาไม่แพงแล้ว ข้อดีคือ น้ำหนักเบากว่า 5 เท่า อายุการใช้งานยาวนานกว่า 10 ปี แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ มันไฟไหม้ได้เท่านั้น!!! *** สำหรับ Forza จะมีขนาด 85x150*95 แต่ถ้าสำหรับ มอไซค์ขนาดเล็ก + PCX 68x110 x 87 (ขึ้นอยู่กับ แอมป์)
หัวเทียน เป็นความเชื่อว่า มีผลต่อความแรงของเครื่องยนต์ แต่ความจริงแล้วยังไม่มีบททดสอบที่มาจากที่ไม่ใช่บริษัทหัวเทียนเลย แต่ทุกคนเชื่อว่า เปลี่ยนหัวเทียนใหม่ ย่อมดีกว่าเก่าเสมอ
หัวเทียนศูนย์ Honda ราคาประมาณ 350-400 บาท
NGK
NGK หัวเทียนเดิม ของ Forza รหัส LMAR8A-9 ราคาประมาณ 200 บาท มันใช้ร่วมกับ PCX160 X-Max300 อีกด้วย
NGK Laser Iridium เป็นหัวเทียนเข็ม ราคาประมาณ 500-600 บาท
NGK Moto DX Ruthenium ราคาประมาณ 800 บาท (หัวเทียนรุ่นนี้ จะมีความพิเศษ คือ หัวโค้งมันจะกลมกว่า เขาว่าระบายอากาศ เข้าและออกได้ดีกว่า (นิ๊ดเดียว) และทนกว่า Iridium 4 เท่า!!!
ขาตั้ง
สเปคพื้นฐาน ขาตั้งเดี่ยว เดิมยาว 17.5 cm. (ยาวเท่า Lead กับ Giorno) ถ้าขาตั้งเดิมของ Wave จะยาวถึง 19 cm.
เซนเซอร์ O2 (สายที่ต่อกับท่อไอเสีย)
สายเซนเซอร์ O2 ที่เสียบกับท่อไอเสีย มันชอบขาด(เพราะถอดท่อไอเสียบ่อย) เลยมีคนจับมันหุ้มสายถักสายไฟ แล้วเอาท่อหดรัดปลายไว้แค่นั้น แต่ประเด็นที่ยากคือ การถอดปลั๊ก กับ สายไฟออกมา (ไม่ใช่ถอดสายออกจากเครื่อง แต่ ถอดปลั๊กออกจากสายไฟ มันจะต้อง กด กิ๊ปภายในปลั๊กให้ดี ไม่งั้นจะใส่ที่หุ้มสายไฟไม่ได้)
สเปคที่ลองกันแล้วเหมาะสมคือ สายถักเบอร์ 8mm และท่อหดเบอร์ 12mm.
อุด EGR
EGR = Exhaust Gas Recirculation คือระบบหมุนเวียนเอาไอเสียมาเผาไหม้ใหม่ (ส่วนมากใช้ในรถยนต์) ที่สำคัญคือ มันจ่ายอากาศเสียไปหลังลิ้นเร่ง ดังนั้นมันไม่ควรทำให้ ลิ้นเร่ง หรือชดเชยรอบเดินเบา สกปรกได้
แต่ความจริงแล้ว มอไซค์ส่วนใหญ่ รวมถึง Forza มันใช้ระบบ Pair (Pulse Air Injection) คือ มันเอา ไอดี ไปเติมกับไอเสีย ที่หลังวาล์วไอเสีย เพื่อให้ไอเสียผสมกับออกซิเจน ทำให้ เชื้อเพลิงที่ยังเหลือจากการเผาไหม้ที่หลุดรอดออกมา เกิดการเผาไหม้ ที่หลังวาล์วอีกครั้ง ทำให้มันเผาไหม้หมดจด โดยเฉพาะเครื่องยนต์คาร์บู ที่จูนไม่ดี มันอาจเกิดการ BackFire ที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อวาล์วไอเสียได้
ข้อเสียคือ
1. ไอดีมันถูกแยกไปอีกทาง
2. มันไปเติมไอเสียทำให้ ปลายมันไม่ไหลคือปริมาตรไอเสียไม่สามารถออกได้เต็มที่
โดยปกติ มันจะมีปั้มลม 1 ตัว หรืออาจมีปั้มตัวที่ 2 และสวิทช์ เปิดปิดวาล์วอีกด้วย แต่ถ้าเอา ระบบ Pair ออก จะทำให้ O2 Sensor นั้นอ่านค่าเพี้ยนไปได้
การอุด ต้องอุดที่ท่ออากาศของ Forza350 จะมีขนาด 16mm.
กรองน้ำมันเครื่อง และน้ำมันเครื่อง
กรองน้ำมันเครื่อง
กรองน้ำมันเครื่องถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญ เพราะ หากสปริงวาล์วอาจไม่เปิด น้ำมันจะไม่ถูกกรองเลย... ดังนั้น ไม่ว่าจะซื้อของอะไร ต้องเป็นของแท้เท่านั้น!!!! ห้ามใช้ของปลอมเด็ดขาด
กรองน้ำมันเครื่อง Forza เบิกศูนย์ ราคาประมาณ 600 กว่าบาท
ทางเลือกคือ ใช้ aisin (เป็น OEM ของ Honda) เบอร์ 4011 ราคาประมาณ 150 บาท
แต่คนส่วนใหญ่ จะเลี่ยงไปเบิกศูนย์ของยี่ห้ออื่น เช่น หันไปใช้ของ Yamaha R3 หรือ Kawazaki ราคาประมาณ 200 กว่าบาท
ถ้าต้องการราคาถูก และดี ต้องใช้ของ รถยนต์ Honda Nissan หรือ Mazda2 ราคาประมาณ 150 บาท
หรือหลบไปใช้ กรองน้ำมันเครื่อง Bosch จะเบอร์ O 1014 (เกรดเยอรมัน) ราคาไม่เกิน 100 บาท
น้ำมันเครื่อง
ปกติ ฮอนด้าจะแนะนำให้ใช้ความหนืดเบอร์ 30 ได้เลย เพราะฮอนด้าถือว่าเครื่องยนต์ของตัวเองแนบชิดมากๆ โดยศูนย์แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายทุก 5,000 กิโลเมตร
(แต่สำหรับ คนที่ชอบบิดแช่ ควรเปลี่ยนถ่ายที่ระยะเร็วกว่านั้น เพราะน้ำมันเครื่องจะสูญเสียความหนืด หรือฟิลม์เคลือบไปอย่างรวดเร็ว เมื่อโดนความร้อนและอากาศ โดยแนะนำเปลี่ยนถ่ายที่ 2,000 กิโลเมตรจะดีกว่า)
ส่วน ปริมาณการเปลี่ยนถ่าย
- กรณี ไม่เปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องจะใช้ 1.3 ลิตร
- กรณี เปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องด้วย ใช้ 1.5 ลิตร
- กรณี ผ่าเครื่อง จะใช้ 1.8 ลิตร
เฟืองท้าย และ น้ำมันเฟืองท้าย
เฟืองท้าย จะมี 3 ตัว คือ 1. เฟืองท้าย 2. เฟืองขับ 16 ฟัน (300 Gen1 18 ฟัน Gen2 17 ฟัน) และเฟืองตาม 47 ฟัน (300 Gen 1 47 ฟัน Gen 2 46 ฟัน)
ถ้าต้องการปลายเพิ่ม ให้เปลี่ยนคู่เป็น 17 (300 Gen 1 ) กับ 44 (300 Gen 2) แต่ถ้าทำเครื่องมา มักจะเลือกเป็น 16/32 หรือ 16/30
น้ำมันเฟืองท้าย ปกติคือ น้ำมันเกียร์ธรรมดาของรถยนต์นั่นเอง ปกติ จะแนะนำให้ใช้เกรด GL-5 (ที่ไม่มี Zinc เป็นส่วนผสม แต่ถ้าเครื่่องมี ทองเหลือง มันจะไม่เหมาะเพราะกัดกร่อน ทองเหลือง)
สำหรับรถยนต์ จะใช้ ค่าความหนืด W90 ขณะที่รถยนต์ที่ใช้งานหนักจะใช้ที่ W140
ส่วนมอไซค์ Scooter ขนาดเล็กจะใช้ความหนืด W40 และ มอไซค์ขนาดใหญ่จะใช้ W90
เปลี่ยนถ่ายทุก 10.000 กิโลเมตร
กรณีถ่ายน้ำมันเฟืองท้ายอย่างเดียวใช้ 280 cc
กรณี ผ่าเครื่องมา ต้องใส่น้ำมันเฟืองท้าย 300cc
** ดังนั้น มันต้องใช้ 3 หลอด (หลอดละ 120cc)
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและเฟืองท้าย
น๊อตน้ำมันเครื่องเบอร์ 12
บล็อคกรองน้ำมันเครื่องเบอร์ 901 (65mm)
น็อตน้ำมันเฟืองท้าย เบอร์ 10 สำหรับ น้ำมันเฟืองท้ายจะมี 3 รู รูล่างคือตัวเทน้ำมันออก ตัวกลาง คือ ตัวกันล้น ตัวบน คือ ช่องเทน้ำมันเฟืองท้ายเข้า
วิธีการถ่าย น้ำมันเฟืองท้าย
เปิดน๊อต รูบน รูกลาง รูล่าง (รูนี้น้ำมันจะเริ่มไหลออก) ปิดน๊อตรูล่าง เติมน้ำมันเฟืองท้ายที่รูบน จนน้ำมันออกรูกลาง ก็ขันน๊อตทุกตัวให้แน่น พอตึงมือ (ขึ้นอยู่กับความแข็งของคลาส(ความแข็งแรง)น๊อตด้วย)
ประเด็น น้ำเข้าเฟืองท้าย(น้ำมันกลายเป็นสีกาแฟ) ปกติจะเกิดจาก ....... ท่อหายใจของน้ำมันเฟืองท้ายไม่ได้เสียบกลับเข้าไปยัง กรองอากาศ มากกว่า ที่จะเป็นกรณีน๊อตขันไม่แน่น
จารบีเพลาหลัง
แนะนำให้ใช้ของ YamaLube จะถือว่าเป็นของเกรดดี
กรณีล้อหลัง หมุนแล้วฝืด และมีเสียงดัง ให้เปลี่ยน ลูกปืน ชามหลัง 2 ตัว
รหัส 91004-KCW-880 หรือ 91002-GA7-702 (ลูกปืนตลับ 6902U (NTN) ตัวนี้เป็นรหัสใหม่ที่มาแก้ไขตัวเดิม) 91002-KPB-003 (ลูกปืนเข็ม วงในxวงนอกxยาว 25x 33x18)
วิธีเอาลูกปืนออก เอาชามหลังมาถอดทั้งหมด เอาตัวที่มีแกนมา แล้ววางไว้บนอะไรสักอย่าง แล้วตอกเอาลูกปืนเข็มออกก่อน ถัดมา เอากิ๊ปล็อกออก แล้วค่อยตอก ลูกปืนตลับออก
วิธีเอาลูกปืนเข้า เริ่มจาก ใช้บล็อกเบอร์ 20 ตอก ลูกปืนตลับเข้าไปก่อน เอาด้านมีฝาปิดออกไป อีกด้านไว้ตอก ถัดมาใส่กิ๊ปล็อก แล้วก็ใส่ลูกปืนเข็ม (เอาด้านตัวหนังสือออกด้านที่จะตอก)
ชุดข้าง(เปรียบเสมือน ครัช+เกียร์)
ชุดขับเคลื่อนสำหรับรถเกียร์ CVT (รถออโต้) หรือ เรียกในภาษาวัยรุ่นว่า ชุดข้าง เปรียบเสมือน ชุดโซ่เสตอร์ ในรถเกียร์ธรรมดา โดยรถออโต้นั้ันจะใช้ชุดชามหน้า และชุดครัทช์ ที่อาศัยแรงเหวี่ยงผ่านการเลื่อนขึ้นลงของ สายพาน เพื่อไปหมุนล้อหลังชุดชามหน้า รับแรงปั่นโดยตรงจากข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ มาผลักให้ ชุดเม็ดด้านใน เพื่อส่งให้สายพานขึ้นลงตาม
โดยวัตถุประสงค์หลักของชามชุดหน้าจะพยายามเคลื่อนที่ให้สัมพันธ์กับความเร็วและรอบเครื่อง โดยบริษัทผลิตรถยนต์มักไม่ต้องการ ให้เครื่องยนต์ทำงานรอบสูงเกินไปด้วย ทำให้มีข้อจำกัดของ การเคลื่อนที่ของเม็ดภายใน
โดยเริ่มต้น สายพานจะเล็กที่ชามหน้า และใหญ่ในชามหลัง เมื่อขับไป สายพานจะใหญ่ที่ด้านหน้า และเล็กที่ชามหลัง
ก่อนจะไปโมดิฟาย เราต้องเข้าใจหลักการ การลากรอบเกียร์ ในรถซิ่ง (คือรอบสูงก่อนเปลี่ยนเกียร์) แต่มันจะแลกมาด้วย การเปลืองน้ำมันมากกว่า
จึงมีคนคิดค้นการนำชามเดิมมาโมดิฟายเพื่อให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้น
0. เปลี่ยน บูทแกนกลาง จากกลมๆ ตัน เป็น ตัว T เป็นสูตรเฮียหมา เพื่อใช้ลดน้ำหนักชามลง แถมยังใส่ลูกปืน เพิ่ม ทำให้เลื่อนเข้าเลื่อนออกเร็วขึ้น(แต่ถ้าใช้สเต็ป ลูกปืน ต้องลดน้ำหนักเม็ดด้วย)
** หน้าชาม ห้ามใช้เกล็ดปลา เด็ดขาด เพราะกินสายพานมากๆ ใช้เฉพาะ สนามแข่งเท่านั้น
1. การขูดร่องเม็ด (มันจะทำให้เม็ดแทนที่จะเคลื่อนไปขยับจานครอบได้ช้าลง (ทำให้ดันชามที่ครอบไว้ให้ขยับออกได้ช้าลงด้วย สายพานทำใหญ่ที่ชามหน้าได้ช้าลงด้วย) ข้อเสียคือ รอบเพิ่มขึ้น แต่ล้อจะไม่หมุน แต่จะได้ปลายเพิ่มขึ้น (ค่อนข้างเปลืองน้ำมัน)
** ข้อเสียคือ แรงกดช้าลง และอาจเกิดการแกว่งได้ เพราะไม่ได้ศูนย์
2. ขูดปลายร่องเม็ดชาม (บางคนจะเรียกว่า เปิดร่อง ประมาณ 15องศา) มันทำให้เม็ดสามารถวิ่งขึ้นไปได้ปลายชามเพิ่มขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ทำให้ชามขยับออกจากกันได้เพิ่มขึ้น และสายพานสามารถสร้างวงใหญ่ที่ชามหน้าได้เพิ่มขึ้นอีก ทำรถสามารถเพิ่มความเร็วปลายสูงสุดได้อีกนิดหน่อย
** ตรงนี้ต้องระวัง เรื่อง ความกว้างของสายพาน ที่ต้องมาวัดประกอบด้วยว่า สายพานมันจะหลุดชามหรือไม่? ตรงนี้จะได้ ความเร็วปลายเพิ่มขึ้น โดยไม่เกี่ยวกับการเปลืองน้ำมัน แถมได้ลดน้ำหนักชามด้วย
3.การเจียหน้าชาม (ไม่ปรับองศา) เพื่อให้ ระยะระหว่างชาม "ชิด" กันมากขึ้น ทำให้รอบขึ้นช้ากว่า และรถเดินหน้าเร็วกว่า ง่ายๆ คือ ความเร็วเท่าเดิม แต่รอบลดลง (เป็นการประหยัดน้ำมัน)
4. การปรับองศาชาม จะแลกมาด้วย สายพานที่เสื่อมเร็วกว่า เพราะองศาของชาม กับองศาของสายพานจะไม่เท่ากันแล้ว โดยมากมันจะทำให้ตีนสายพานสึกเร็วกว่าปกติ
แต่ข้อดีคือ
5. เปลี่ยนเม็ดในชาม (ทฤษฎีพื้นฐาน คือ น้ำหนักเม็ด x จำนวนเม็ด x รอบเครื่องยนต์ที่ทำงานดีที่สุด = น้ำหนักที่เหวี่ยงในการหมุนต่อรอบ โดยให้ระวังเรื่องสมดุลการหมุนให้ดี)
ยกตัวอย่าง น้ำหนัก 13 กรัม 6 เม็ด ทำงานดีที่ 8000 รอบ จะเท่ากับ 624000 กรัม หรือ 624 กิโลกรัม!! เลยทีเดียว ดังนั้น การลดน้ำหนักเม็ดลง จะทำให้ ชามบีบกันได้ช้าลง ทำให้สายพานทำวงหน้าได้ใหญ่ช้ากว่า ซึ่งเข้าคอนเซป รอบมา แต่ล้อไม่หมุน คือ ลากรอบเครื่องฟรีนั่นเอง ซึ่งถ้าเปลี่ยนเม็ดอย่างเดียว แล้ว ความเร็วปลายยังคงได้เท่าเดิม เหตุผลเพราะ วงกลมของสายพานมันใหญ่สุดเท่าเดิมนั่นเอง เลยต้องไปขูดร่องเพิ่ม
โดยการเปลี่ยนน้ำหนัก คู่ คือ น้ำหนักตัวหนักกว่าจะไปที่ขอบก่อนแล้วน้ำหนักน้อยค่อยไปตาม ทำให้ มันออกตัวดีขึ้น
สรุปคือ อยากได้ต้น ให้ลดน้ำหนัก แต่อยากได้ปลายให้เพิ่มน้ำหนัก (รวมถึงน้ำหนักคนขี่ คือ คนหนักต้องเม็ดเบา คนเบาต้องไล่เม็ดหนัก)
** คำแนะนำคือ ไม่ว่าจะไล่เม็ดอย่างไร พยายามหาเม็ดแท้ๆ ของ ยี่ห้ออื่น หรือ รุ่นอื่น ที่มีน้ำหนักต่างกันมาใส่แทน มันจะทนทานกว่า เม็ดที่ไม่ได้มาตรฐาน (คือ ใส่ได้แต่มันจะไม่ทนทาน เดี๋ยว ต้องกลับมาไล่ใหม่อีก เสียเวลามากๆ)
** เทคนิกการไล่เม็ด คือ เอาสีแต้มไว้ที่ปลายชามทั้ง 2 ด้าน ประกอบกลับ แล้วเร่งความเร็วสุด ดูว่า น้ำหนักเม็ด ที่ได้ เพียงพอหรือไม่ ถ้าเพียงพอ หมึกจะหายไปหมด แต่ถ้าไม่พอ หมึกจะยังอยู่แบบเลือนๆ (บนพื้นฐานที่ว่า ชามเดิม สายพานต้องเดิม เพราะถ้าเป็นสายพานที่ไม่ได้องศากับชาม มันจะกวาดสีหมึกไม่ออกเช่นเดิม)
แรงม้าเดิมจะอยู่ที่ 21-22 แรงม้า (AF โรงงานที่แรงม้าสูงสุดจะมีค่าประมาณ 13 กว่าๆ) โดยหาก เม็ดเดิมชามเดิม มันจะมาที่ต้น แรงจริง แต่ปลายจะหมดเร็ว
- การปาดชามเพื่อเปลี่ยนองศาชาม มันทำให้ องศาชามกับ องศาของสายพานมันเปลี่ยนไป ก็คือ สายพานจะไต่ขึ้นช้าลง (สร้างวงกลมใหญ่ได้ช้าลง คล้ายๆกับ ใช้เม็ดเบาขึ้น) ทำให้แรงบิดเพิ่มขึ้น และทำให้ความเร็วมาไวขึ้น แต่มันก็แลกมากับการทำให้สายพานสึกหรอง่าย และ ทำให้สายพานขาดง่ายด้วย(ยึด)
คำแนะนำคือ การทำชุดข้าง ไม่ค่อยแนะนำ เพราะทำให้เครื่องยนต์สึกหรอไปด้วย เนื่องจาก เราต้องเร่งบิดมากขึ้น เพื่อลากรอบที่สูงกว่าเดิมในทุกๆ ย่าน (ส่วนใหญ่ คนที่ทำจะหวังให้ความเร็วปลายเพิ่มขึ้นมากกว่า)
** สูตรเฮียม๋า คือ การลดน้ำหนักชาม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแกน จะลดน้ำหนักได้เยอะ และได้แรงม้า(ลงพื้น)มาขึ้นแน่นอน
มูลเล่ย์หลัง หรือชามหลัง จะมีชุดคลัช เพื่อจับให้ล้อหมุนเท่านั้น
ส่วนใหญ่ จะเกิดปัญหา ออกตัวสั่น ......... ประเด็นคือ ชุดครัชไม่จับ .....ที่เกิดจาก 1. ครัชไม่ดีดตัวออก (ต้องเปลี่ยนเม็ดยางครัช 5 เม็ด) 2. หน้าครัชหมด .(กระดาษทรายขัด หรือเปลี่ยนก้อนครัชใหม่).
- ส่วนใหญ่ จะเริ่มต้นอัพเกรดจาก ชุดคลัลช์เดิมโรงงาน ไปเป็น ชุดคลัชคาร์บอน + ทองแดง และเอา กะโหลกไปขัดลายใหม่ (บางคนเรียก การกลึงลายนี้ว่า กะโหลกคลัชกัดลาย) ทำส่วนนี้เพื่อให้ ชุดคลัชมันจับกระโหลกได้ดีขึ้น
ข้อดีคือ ทำให้ออกตัวได้ดีขึ้น เพราะคลัชจับได้ดีขึ้น (ประหยัดน้ำมันด้วย) แต่ข้อเสียคือ ถ้ากัดลายมาคมเกินไป มันจะทำให้ผ้าคลัชหมดเร็วเกินไป (หลายคน ต้องเปลี่ยนกลับมาใช้ของเดิมโรงงาน)
สเปคสปริงครัช (ปกติยาว 109.2 หากต่ำกว่า 107.0 ให้เปลี่ยนได้เลย) ปกติเปลี่ยนกันที่ 30,000-50,000กิโลเมตร แต่สเปคโรงงานเปลี่ยนที่ 100,000 กิโลเมตร
สายพาน
สายพานควรเปลี่ยนทุก 24,000 กิโลเมตร(ตามคู่มือ) แต่แนะนำให้เปลี่ยนทุก 15,000 กิโลเมตร และพกสายพานสำรองไว้ใต้เบาะเสมอ เพราะมันสามารถขาดได้ทุกเวลา และสายพาน Forza350 ไม่ใช่ทุกร้านอะไหล่จะมีขาย
สเปค สายพานหน้ากว้าง 27.5 หากกว้างต่ำกว่า 26.5 ควรเปลี่ยน (สเปคโรงงาน)
สายพานฮอนด้าแท้ Forza350 รหัส 23100-K1B-T02 (ระวังให้ดี ถ้าเป็นรหัส K04-932 จะเป็นของ Forza 300 ใส่ด้วยกันไม่ได้) ราคาประมาณ 1,100 -1500 บาท
สายพาน Mitsubishi เป็น OEM ของ Honda จะเป็นรหัส MVSB0039T ราคาประมาณ 800 บาท
สายพาน Michelin (ชื่อฝรั่งเศส แต่ผลิตโดยบริษัท เฟิงเหมา ของจีน ที่ได้รับสิทธิในการผลิต) ตอนนี้ทุกคนเชื่อว่า จะใช้ดีกว่าของเดิม เพราะยังไม่มีคนทดสอบ และรีวิวการใช้งานระยะยาวกับ Forza
สายพาน Gates (เกรดเยอรมัน มันเป็นของหายาก ส่วนใหญ่ ที่วางขายจะมีแค่ Forza300 ราคาประมาณ 1,100 บาท)
โช๊ค และช่วงล่าง
โช๊คหน้ายิ่งระยะยุบเหลือน้อย แสดงว่า จะกระด้างมาก ไม่นิ่มนวล
โช็คหลัง
โดยปกติรถทั่วไป โช๊คติดรถเดิมมา เมื่อขับขี่จะลักษณะค่อนข้างนิ่ม แต่สปริงกลับดีดกลับ อย่างรุนแรง(คือแรงหนืดน้ำมันไม่สมดุลกับสปริง)
อย่างไรก็ดี โช๊คที่มีซับแทงค์ โดยทฤษฎีมันจะรองรับการกระแทกได้ดีกว่าอยู่แล้ว เพราะมีส่วนของน้ำมันและแก๊สที่มากกว่า (แถมบางรุ่นยังสามารถปรับเพิ่มความหนืดของการยุบตัวและ คลายออกของสปริงได้มากกว่า โดยเฉพาะรุ่นสูงๆ)
แต่มันเหมาะกับสนามแข่งมากกว่า แต่การใช้งานในชีวิตประจำวัน มันก็ไม่จำเป็นต้องรองรับขนาดนั้น ดังนั้นไม่แนะนำให้ใช้ของแพงมากเกินความจำเป็น
ช่วงล่าง
พูดถึงช่วงล่าง เรามักจะพูดถึง Sprung Weight (น้ำหนักเหนือโช๊ค) และ Unsprung Weight น้ำหนักใต้โช๊ค โดยความจริงแล้วสัดส่วนระหว่าง Sprung Weight/ Unsprung Weight ยิ่งมากจะยิ่งดี คือ น้ำหนักส่วนบนโช๊ค ต่อ น้ำหนักใต้โช๊ค ยิ่งมีสัดส่วนมาก รถจะยิ่งขับขี่ได้นิ่มและเกาะถนนมากขึ้น (เป็นสิ่งเดียวที่ได้ทั้ง 2 อย่าง)
นั่นเป็นเหตุให้ หากมีคนนั่งซ้อน บางที รถจะขับนิ่มขึ้นทันที แต่หากมาสายแต่งรถ เราจำเป็นต้องลดน้ำหนัก Unsprung Weight ให้มากกว่า ตั้งแต่ ตัวโช๊ค ล้อ แกนล้อ จานเบรค คาลิปเปอร์เบรค
ส่วนหลายคนแก้ปัญหาที่ โช๊ค มันจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทางมากกว่า
อาการรถสั่นเมื่อความเร็วสูง แก้จากงบน้อยไปงบมาก ดังนี้
1. ลมยางล้อ ถ้ามันสูบไม่เต็มที่ ลมมันเปลี่ยนไม่ทันการหมุนของล้อ (ยางจะไม่กลม เมื่อความเร็วสูง) ข้อนี้ไม่มีต้นทุนจึงเป็นสิ่งที่ควรทดลองก่อนเป็นอันดับแรก
2. ถ่วงล้อ ล้อถ่วงมารึยัง? เพราะหากยังไม่ถ่วงน้ำหนักล้อใหม่ น้ำหนักของวงล้อ เวลาหมุนมันจะมีน้ำหนักส่วนที่มากกว่าจะพุ่งออกจากล้อตลอดเวลา ทำให้เหมือนขี่ล้อที่ดุ้งอยู่นั่นเอง ทำให้ล้อมันเด้งขึ้นๆลงๆตลอด และทำให้รถมันสั่นได้ โดยเฉพาะ ถ้าน้ำหนักล้อที่มีมาก (ยิ่งแย่) และความเร็ว(ที่สูง) จะยิ่งทำให้สั่นมากขึ้น
3. ยางล้อ ยางที่แข็งเกินไป หรือยี่ห้อที่หมดสภาพมากเกินไป ก็ไม่เหมาะกับ ความเร็วสูงๆ จึงแนะนำให้เปลี่ยน
4. โช๊ค การโหลดลง หรือ ปรับการยึดของสปริงช้าเร็วจะมีผลต่อ การสั่น หรือแม้แต่โช๊คตาย ก็ส่งผลต่อการสั่นได้
ระบบเบรค
ระบบเบรคส่วนใหญ่ ของมอเตอร์ไซค์ จะแยกออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. 300cc. ลงมา
2. 300-800 cc
3. ระดับ 800 cc ขึ้นไป (พวกนี้ มักจะเป็นพวกรุ่นพิเศษ)
การจะอัพระบบเบรคต้องมีความสัมพันธ์ของ ปั้มเบรคบน และ ปั้มเบรคล่าง ยกตัวอย่างเช่น หากเปลี่ยนปั้มล่างใหญ่ขึ้น มันย่อมต้องการแรงดันน้ำมันที่ส่งมามากขึ้น ทำให้เราจำเป็นต้องเปลี่ยนปั้มเบรคบนด้วย เพื่อความสัมพันธ์กัน
โดยถ้าเปลี่ยนปั้มบนใหญ่กว่า (แรงดันเพิ่มขึ้นเยอะจริง) แต่เราจะไม่สามารถเลียเบรคได้ หรือ เรียกอาการแข็งเกินไป (ในทางการแข่งขัน เราจะเรียกสูญเสียการควบคุม (Control) ไป) แต่ถ้าปั้มบนขนาดเล็กกว่า มักจะเบรคไม่อยู่ หรือ มันจะนิ่มมาก ต้องกดเบรคลึกๆ หรือ ต้องบีบเบรคหนักๆ ซึ่งอาจทำให้โอริงรั่ว หรือ สายเบรคแตกได้ นั่นคือเหตุผลที่ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งปั้มบนและปั้มล่างให้สัมพันธ์กัน
ปั้มเบรคมาตรฐานโรงงาน
ปั้มบนด้านซ้าย และด้านขวา ของ Forza350 จะเป็น น๊อตยาว 14mm
ปั้มล่างหน้าเป็น Nissin 2 Pot แบบ Axial
และปั้มหลังเป็น Nissin 1 Pot น๊อตยึด 2 ตัวเป็น M8x45 และน๊อตเล็ก M8x26 (ประเด็นคือเกลียวไม่ใช่เกลียวมาตรฐาน 1.25 แต่มันละเอียดกว่านั้น)
หากอัพเกรดปั้มหน้า ด้านล่าง เป็น Nissin 4 Pot (จะมีทั้งของ CB150-300)บางคนบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนปั้มบนเปลี่ยนใส่ได้เลย แต่ประเด็นคือ CB150 มีแต่ ปั้มล่างข้างซ้าย หากเอามาใส่ Forza ด้านขวา ตัวไล่ลมจะอยู่ด้านล่าง ตอนไล่ลม ต้องใช้เทคนิก ถอดออกมาไล่ข้างนอก จะจบกว่า ไม่งั้นอาจเบรคจมได้
แต่ถ้าเอาปั้มหน้าล่าง Nissin 4 Pot ของ CB500-X-ADV750 มาใช้ บางคนบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยน แต่บางคนบอกว่า ควรเอาปั้มบนของ ADV750 มาใส่ปั้มบนด้วยจะเบรคดีขึ้น (แต่อย่าลืมว่า ADV750 นั้นเป็น ระบบดิสเบรคคู่ ทำให้มันต้องการแรงดันเบรคมากกว่า)
ปั้มบน
จะมีส่วนสำคัญคือ ขนาด
ปั้มล่าง
ขนาดของ Nissin จะใช้มาตรวัดแบบ นิ้วหรือหุน ขณะที่ Brembo จะใช้ mm
ขนาด 1/2 นิ้ว = 12.7 mm
ขนาด 5/8 นิ้ว = 15.8 mm
ขนาด 11/16 นิ้วว = 17.4mm
ขนาด 3/4 นิ้ว = 19.05 mm
ของ BMW C400 BYBRE (2 น๊อต) ระยะขาจะแค่ 80mm ลูกสูบ 4x28 mm เท่านั้น จานขนาด 265 mm เอง
CBR650 , XADV750 Afarica Twin Radial Mounth ขา 100 mm ลูกสูบคู่ (4Potsขนาด 30,27) พื้นฐานจับคู่กับจานเบรค 296 หนา 4mm (ราคาประมาณ 3,000-4,000) โดยลูกสูบจะขนาดใหญ่กว่ารุ่น CBR300
ผ้าเบรค จะใช้เบอร์ 371 (สูงกว่า CBR300)
*** เมืองนอกบอกว่า Offset ของขาจะไม่เท่ากับ Brembo 100mm คือ จานจะไม่ตรงกลางเบรค ดังนั้น ควรใช้ขาจับตรงรุ่นจริงๆ จะดีกว่า แม้ว่าส่วนใหญ่จะใช้สับกับขาแปลงของ Brembo เลยก็ตาม**
CBR150R , CBR300R Radial Mouth 100mm (รหัส 45250-K94-T01)
ขา 100 mm 4 Pot แต่จะมีขนาด 27mm ทั้ง 4 ตัว เล็กกว่ารุ่นใหญ่เพียงนิดเดียว
ผ้าเบรคจะใช้เบอร์ 281 เตี้ยกว่า CBR650
(วิธีสังเกตง่ายๆ คือ มันจะไม่มีปั้มซ้าย มีแต่ปั้มขวาเท่านั้น ดังนั้น ถ้าเจอรูไล่ลมอยู่ล่าง มันจะเป็นของรุ่น 650 ด้านซ้าย แน่นอน) ซึ่งมันจะไม่สามารถไล่น้ำมันขณะ ปั้มล่างติดเสร็จแล้วได้ ต้องยกไล่ลมขึ้นมาอยู่ด้านบนก่อน ไล่เสร็จค่อยใส่ปั้มล่างอีกที
จานเบรค
จานเบรคหน้า เดิมจะเป็นแบบ 6 รู 256 mm แต่ของแต่ง ส่วนใหญ่จะมีขนาด 267-300 mm ถ้าเปลี่ยนยังไงต้องเปลี่ยนขาจับปั้มเบรคใหม่
แต่ใครจะเปลี่ยน บอกก่อนว่า คาลิปเปอร์ของ Forza ด้านหน้าและหลังจะเป็นรุ่นเดียวกับ CBR250RR (รุ่นพิเศษ ในปี 2020) นั่นคือ คุณกำลังทิ้งของดีไปนั่นเอง
จานเบรคหลัง เดิมจะเป็นแบบ 4 รู ขนาด 240mm หนา 4.5mm ระหว่างรูตรงข้าม 124.5mm ระหว่างรู ติดกัน 8-9mm จานหลัง CRF จะแค่ 220mm ส่วนจานแต่งจะเพิ่มขนาด 245 mm สำหรับ Forza ถ้าต้องเปลี่ยนขนาดจานหลัง จำเป็นต้องเปลี่ยนสวิงอาร์ม หรือ เพิ่ม ขาจับเบรคที่ท้ายสวิงอาร์ม
*** จานเบรคหน้า PCX150 (2018 จะใช้คาลิปเปอร์ 3 สูบ) - PCX160 (จานรุ่นเดียวกับ CBR300 จะใช้เบรคคาลิปเปอร์ 2 สูบ) ขนาดเพียง 220mm
ล้อ
กรณี ล้อหลังคลอน มีหลายปัจจัยไล่จาก งบน้อย ไป งบมาก
1. บูชล้อหลัง เปลี่ยนเพื่อให้ บูชมันจับเต็มหน้าสัมผัส เพราะล้อมันมีแกน 2 ชิ้น (ส่วนล้อแม็ก กับแกนเหล็ก) บูชเดิม มันจะจับแค่เหล็กที่เป็นแกนกลาง แต่บูชที่่ใช้แก้ มันจะจับทั้ง ส่วนของล้อแม็กและแกนเหล็กเลย เป็นทั้ง 2 ฝั่ง
2. ยางเก่าแข็ง
3. ยางแท่นเครื่อง เสียแล้ว ดังนั้นต้องค่อยๆ ไล่ไปทีละชิ้น จากถูกไปแพง
กรณี ล้อหลังมีเสียงฝืด (เสียงคล้ายเหล็กเสียดสีกัน) ไล่จากงบน้อยไปมาก
1. จานเบรค+ลูกสูบเบรคสีกัน (ถอดมา ล้างชุดปั้มเบรคหลัง)
2. ลูกปืนในชุดครัช 2 ตัว เสียแล้ว
ล้อ
ขนาดล้อแม็คล้อหน้า ขนาด 3.50-15
ล้อเดิมหนัก 4.72 kg
ล้อ ADV 4.52 kg
MK factory 4.0 kg
GP 3.85 kg
F1 Project 4.13 kg
Hola 4.25kg
ล้อหลัง ขนาด 4.00-14
ล้อเดิมหนัก 4.88 kg
ADV 4.80 kg (ล้อ X-ADV 4.5-15)
MK factory 3.9 kg
GP 3.56 kg
F1 Project 3.30kg
Hola 4.25kg
MK ราคาจะค่อนข้างแพงกว่าชาวบ้าน ราคาประมาณ 40,000 มือสอง 28,000
กรณี เอาล้อแม็ค ADV350 มาใส่แทน (น้ำหนักจะเบาเบากว่า 1-2 ขีด เท่านั้น)
ล้อหน้า ต้องเปลี่ยนเป็นบูทของ ADV350 มาด้วย เพราะใช้บูทเดิมของ Forza ไม่ได้
ลูกปืนเดิม จะใช้ NSK รหัส 30608
ล้อหลัง ไม่ต้องทำอะไร ใส่ได้เลย แต่ถ้าต้องการใช้เบรคแต่ง ปั้มมันจะติดก้านล้อ ADV350 ดังนั้น ต้องเลื่อยขาแกนล้อออกนิดหน่อย ส่วนถ้าเป็นล้อเดิมไม่ต้องทำอะไร
แกนล้อหน้า
แกนล้อหน้าเดิมติดรถ หนักประมาณ 2.5 ขีด
แกนล้อหน้า Kamui หนักประมาณ 1.7 ขีด (เบากว่าเกือบ 0.8 ขีด)
ยางรถ
ยางล้อหน้าขนาดมาตรฐาน 120 70R15
ยางล้อหลังขนาดมาตรฐาน 140 70R14 (สามารถลดไซส์ เอาของ 12070R14 มาใส่ได้) การเพิ่มไซส์หลังไม่แนะนำ เพราะกินน้ำมันเพิ่ม ขณะที่ ล้อจะมีหน้าสัมผัส (ทางตรง) ที่ลดลง แต่ทางโค้งจะมีหน้าสัมผัสเพิ่ม เพราะปกติจะใช้ขี่แบบบ้านๆ คือทางตรง มากกว่า
คำอธิบายตัวเลขยางรถ
ปกติเป็นตัวเลข 3 ตัว
120-คือ หน้ากว้าง
70 ความสูงของแก้มยาง
R = ยาง Radial
5= ขอบยาง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น